วันเสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2555

เกร็ดธรรมสุดยอด - พระอาจารย์สนอง กตปุญฺโญ



  • คนเราเมื่ออายุมากๆ เป็นบ้าหอบฟาง ตัวไม่หอบแต่ใจมันหอบ ไปทีไรก็แบกไปหมด อะไรต่อมิอะไรเก็บมาคิดมานึกหมด สะสมอยู่คนเดียวนั่นแหละ ใครไม่ทุกข์เราก็เก็บมาทุกข์คนเดียว บ้าหอบฟางมันไม่มีอะไร มีแต่ฟางที่หอบไป มันหลงนึกว่าเป็นสมบัติล้ำค่า แต่ที่แท้ก็แค่ฟางเท่านั้นเอง ไม่มีทำอย่างไรได้?...อะไรๆ ก็ของเรา ก็ต้องแก้ที่ใจซิ ! มันมีก็ทำใจเหมือนไม่มี ปล่อยวางให้เป็น มันก็เลยเย็นลง
     
  • ทุกข์เพราะอะไร...นอกจากไม่ทันอารมณ์ หลงปล่อยใจคิดมากจนดับไม่ได้ คิดอะไรดีหรือไม่ดีก็ปล่อยไปตามอารมณ์จนจบ พอจบก็เป็นทุกข์ คิดดีก็เฉย คิดไม่ดีก็เฉย ไม่ไปตามทั้งคิดดีและไม่ดี 
     
  • หากทำใจเฉยไม่ได้ เมื่ออะไรเข้ามาทางหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ พอยึดแล้ว หลงทำตามก็เป็นทุกข์ทั้งหมด เพราะมันไปคิดว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นเขา แต่ถ้าคิดแล้วมันเฉย กระทบแล้วมันปล่อย มันก็เบากายเบาใจ เพราะใจเสียไม่มี มีแต่ใจเฉย ใจเฉยน่ะใจดี
     
  • เพียงความคิดนึก...คิดถึงคนนั้นก็ “พุทโธ” คิดถึงคนนี้ก็ “พุทโธ” มันรู้เห็นเข้าๆ มีเกิดดับอย่างเดียว มันไปไหนไม่รอด เพราะสติ สมาธิมันมีมาก ปัญญามันก็รู้ทันหมด รู้ตามความเป็นจริงว่าไม่มีอะไร
     
  • หลักปฏิบัติก็คือ ตามเฝ้าดู เฝ้าพิจารณากายกับใจ นามกับรูป รูปกับนาม ยกจิตขึ้นสู่พระไตรลักษณะญาณ เห็นความเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปอยู่ทุกขณะจิต ไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นเขา มันเป็นเพียงแค่ความคิดนึกเท่านั้น แต่ถ้าเราทำตาม...มันเป็นตัวตนใหญ่เลย มันแค่นึกแล้วก็หาย ไม่มีตัวตน คิดว่าจะไปเอาโน่นเอานี่ เราไม่ไปตามมันก็ดับ แต่ถ้าเราหลงไปตาม มันเอาเรื่องใหญ่ๆเข้ามาเลยนะ
     
  • มันวุ่นวายจริงๆ ได้เห็นได้ยินอะไร เป็นตัวเป็นตนเป็นเขาเป็นเราไปหมด ไม่ยอมแพ้ จะเอาชนะอย่างเดียว แต่พอมาปฏิบัติ มารู้จักหลักปฏิบัติของใจ อะไรก็มองเป็นธรรมดาไปหมด เกิดปล่อย เกิดละ เกิดวาง ไม่ค่อยชิงชังเคียดแค้น ไม่คิดที่จะเอาชนะเอาแพ้กับใคร ธรรมะมันค่อยๆ ปลดเปลื้องไปโดยไม่รู้ตัว จากนิสัยไม่ดีเลยกลายเป็นคนดี ใจที่ไม่เคยปลดเคยวาง ก็ปลดวางได้ เราจะเห็นบุญในชาตินี้...ใจก็ดีกว่าเดิม มันสงบ มันรู้เท่าทันอารมณ์มากกว่าเดิม
     
  • นั่งสมาธิไม่เป็นก็หัดนั่ง ลองมาดูใจตัวเองว่า วันหนึ่งๆมันเป็นอย่างไร ถ้าเราไม่ฝึกไม่ซ้อมจะไม่รู้เลย ว่าความสงบเป็นอย่างไร พอทำสมาธิเกิดขึ้น จะเห็นว่าสิ่งนี้เป็นของประเสริฐดีกว่าสิ่งอื่น ถึงแม้จะมีเงินทองก็ไม่ได้ให้ความสุขแก่ใจเรา แต่่ความสงบนี่ ให้ความสุขแก่ใจเราทุกเวลา
     
  • คนเราถ้าไม่มาปฏิบัติธรรม...มันมีปัญหาทุกคน เพราะใจมันคอยคิดในแง่ไม่ดีอยู่เรื่อย แง่ดีมันก็ไม่คิด ใครพูดไม่ดี มันเอาเชียวล่ะ ! ตอกกลับไปทันที อย่างน้อย...ขโมยโกรธเขาก่อนก็ยังดี ไม่แสดงความโกรธออกมา ขโมยโกรธก็เอา โกรธเขาข้างหลัง ถ้าทำใจได้ มันก็แยกความรู้สึกของตนเองให้อยู่ในฐานะของคนรักสงบ ชอบอยู่อย่างสบายใจ ไม่หาปัญหาให้ตัวเอง และไม่สร้างปัญหาให้กับคนอื่น ทุกคนก็อยู่ในฐานะที่เหมาะสมกับตัวเอง คือ ต้องการความสงบ ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน
     
  • สังคมสิ่งแวดล้อมในทุกวันนี้ทำให้คนฟุ้งซ่านมาก จะแก้ความฟุ้งซ่านด้วยการไปเห็น ไปดู ไปกิน ไปเต้น ไปรำ ไปเที่ยว มันแก้ไม่ได้หรอก กลับยิ่งทำให้วุ่นวายใหญ่ ยิ่งคิดมาก หัวใจยิ่งอ่อนแอมาก
     
  • เราต้องเลิกคิด แล้วหาที่พึ่งที่เกาะทางใจ ด้วยการมาภาวนา พอมาปฏิบัติเราจะเห็นทางแก้หัวใจอยู่ตรงนี้เอง จุดเดียวเท่านั้นเองเหมือนไฟหลายดวงมีสวิตซ์อันเดียว พอกดสวิตซ์อันเดียวดับมืดหรือสว่างหมด

    ใจเราก็เช่นกัน ถ้าไม่สงบ...ใจมันก็มืด ปัญหาต่างๆ ก็ตามมากลุ้มรุมหัวใจ ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรมันว้าวุ่นไปหมด จับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ถ้าใจเราสงบก็สว่าง ปัญหาร้อยแปดก็ดับหมด
     
  • เกิดที่ไหนให้ดับที่นั้น...เรื่องอะไรที่ไม่ดีที่เกิดขึ้นกับเรา ก็ให้มันดับตรงนั้น ไม่ใช่อะไรเกิดขึ้นแล้วเราพูดไปทั่ว นั่นมันไม่ดับตรงนั้น คนไหนทำไม่ดี เราก็ไปพูดกับทุกคนจนรู้หมด อย่างนี้ไม่ดี ถ้าเราเห็นอะไรไม่ดี ก็จบตรงนั้น ถ้าดีไม่เป็นไร คนไหนทำดีไปบอกคนโน้นคนนี้เราก็ดีใจ ถ้าหากเรื่องไม่ดี เราไปบอกคนโน้นคนนี้ เขาก็ไม่พอใจ
     
  • ไม่ดีนั้นเป็นบาป ดีนั้นเป็นบุญ คนที่จะมีความสุขได้ คนนั้นต้องมีบุญ บุญคือความดีใจ ไม่โกรธ ไม่อิจฉาริษยาใคร ไม่ปองร้าย ไม่มองใครในแง่ร้าย มองว่าเราคือเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน เราก็ทำใจให้เมตตาสงสารทุกคน ถ้าทำใจดีได้ มันก็เป็นสุขที่ใจ
     
  • ปัญญาทำให้รู้จักตัวเองขึ้นมาได้มาก คนเราต้องทุกข์อีกเยอะ ทุกข์กับความเกิด ทุกข์กับความแก่ ทุกข์กับความเจ็บอีก แล้วยังต้องไปทุกข์กับความตายอีก เขาตายก็ดี เราตายก็ดี
     ถ้าทำใจไม่ได้ก็ต้องเป็นทุกข์ทุกคน การเกิด การแก่ การเจ็บ การตายจึงเป็นทุกข์อย่างมาก ใครก็หลีกเลี่ยงธรรมอันนี้ไม่พ้น ถ้าไม่ตายตอนหนุ่มตอนสาวก็ต้องตายตอนแก่ ก็ต้องทุกข์เหมือนกัน เพราะเราหนีไม่พ้น ต้องผมหงอก ฟันหัก หนังเหี่ยว เรี่ยวแรงไม่มี เดินก็เหนื่อย นั่งก็เหนื่อย นอนก็เหนื่อย เดินก็เจ็บ นั่งก็เจ็บ นอนก็เจ็บ ทุกข์กับความแก่นี่ไม่ใช่ทุกข์วันเดียว ทุกข์เป็นปีๆ ทุกข์หลายๆ ปี
     
  • บางคนมีโรคประจำกาย ตายก็ไม่ตาย ทรมานต่อสังขารร่างกาย ทรมานจิตใจตลอดวันตลอดคืน ไม่มีใครเห็นทุกข์แบบนี้ เพราะคนเรามันหลง ไม่ยอมรับความจริง ถ้าเราไม่ยอมรับความจริงว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ ขันธ์ ๕ จะต้องมีทุกข์อย่างนี้ เราก็จะสบายใจสามารถปลงได้
     
  • สมบัติในโลกนี้ ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ เงินสักบาทหนึ่งสักสลึงหนึ่งก็เอาไปไม่ได้ เอาใส่ปากก็ยังเอาไปไม่ได้ เว้นแต่บุญกุศลเพียงข้าวทัพพีหนึ่ง หรือสมาธิชั่วครู่หนึ่ง กลับมีอานิสงส์ไปยังชาติหน้าได้
     
  • คนเรามันโง่ก็ไปคิดผิดๆ เขาไม่รักเรายิ่งทุกข์ใหญ่ เขาไม่รักเราสิสบายใจ เราไม่ต้องไปปรนนิบัติเอาอกเอาใจเขาแล้ว เราช่วยตัวเองดีกว่า เข้าหาธรรมะมาบวชมาเรียนมาปฏิบัติเสียดีกว่า ตายแล้วยังได้ไปสวรรค์บ้าง อ้ายนั่นตายแล้วก็ไปนรก เพราะรักเขาไม่มีปัญญา ตัวเขากลับไปนั่งยิ้มคนเดียว ส่วนเราก็เป็นทาสของความรักไป ช่วยอะไรตัวเองไม่ได้เลย เขาเรียกว่าเป็นทุกข์เพราะความรัก
     
  • ถ้าคนเราเข้านิพพานเสียได้ก็หมายถึงสุข แต่เพราะความวุ่นวายที่ทุกคนมีอยู่ยังดับไม่ลง เดี๋ยวเรื่องนั้นเข้ามาแทรกเดี๋ยวเรื่องนี้เข้ามาซ้อน เรื่องลูกเรื่องหลาน เรื่องบ้าน เรื่องเรียน เรื่องรักเรื่องใคร่ เรื่องโลภโกรธหลง มีอยู่ในหัวใจทุกคน คนก็พยายามจะแสวงหาความอยากได้มากๆ แสวงหาความรักมากๆ ไปขอความรักเขา ให้เขารักมากๆ รักน้อยๆ ก็ไม่เอา ล้วนแต่จะเพิ่มให้มันมากขึ้น ที่จริงมันเพิ่มทุกข์ทั้งนั้น
     
  • โดยมากคนเรามักมีอคิต คนนี้พวกเราก็เข้าข้าง ทำดีเราก็สรรเสริญ แม้ทำไม่ดีเราก็ยังกลับยกย่อง คนไหนที่ไม่ใช่พวกเราทำดีอย่างไรเราก็อิจฉา ไม่ชอบไม่พอใจ เพราะไม่ใช่พวกเรา ยิ่งถ้าทำไม่ดีแล้วเราก็ไม่ยอมให้อภัย นั่นมันไม่ดีสำหรับใจเรา ไม่ใช่ดีชั่วอยู่ที่ตัวเขา แต่ดีชั่วมันอยู่ที่ใจเราเสียแล้ว เพราะเราคิดไม่ดีกับคนอื่น
     
  • “แม่สอนว่า”...พระเดชพระคุณหลวงพ่อสนอง กตฺปุญโญ ท่านจะเน้นการเทศน์และสั่งสอนเรื่องของความกตัญญูอยู่เสมอ ซึ่งท่านมักจะพูดอยู่บ่อยครั้งว่า “ไม่มีใครรักเราเท่ากับแม่อีกแล้ว”

    ครั้งหนึ่งที่ห้องรับรอง สถานีโทรทัศน์พุทธภูมิ หลวงพ่อสนองท่านได้เล่าให้โยมฟังเกี่ยวกับเรื่องสมัยก่อนที่ท่านจะบวชเป็นพระว่า ท่านเป็นคนไม่ค่อยชอบอยู่บ้าน มีเพื่อนมากและชอบเที่ยวไปเรื่อยๆ ซึ่งแม่ของท่านก็จะเป็นห่วงมาก ด้วยความที่แม่ของหลวงพ่อท่านไม่อยากให้ลูกชายมีครอบครัว แม่ของหลวงพ่อจะสอนในทำนองโน้มน้าวให้ลูกชายทุกคนบวชอยู่เสมอๆ ว่า “ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่เขาจริงใจกับเราหรอก...” และก็สอนต่างๆ นานา เพื่อให้ลูกชายของท่านละทางโลก จนในที่สุดหลวงพ่อสนองก็ได้มาบวช แล้วมาเข้าห้องกรรมฐานที่ป่าช้าวัดหนองไผ่ จ.สุพรรณบุรี โยมแม่ก็ตามมาส่งอาหารทุกวัน ไปอยู่วัดเขาถ้ำหมี จ.สุพรรณบุรี โยมแม่ก็ตามไปอยู่ด้วย ไปอยู่ถ้ำกะเปาะ จ.ชุมพร แสนที่จะลำบาก โยมแม่ก็ตามไป จนสุดท้ายโยมแม่หรือแม่ชีแม้นก็มาตามมาอยู่และดับสังขารที่วัดสังฆทาน จ.นนทบุรี นั่นเองหลวงพ่อพูดในตอนท้ายว่า “ความรักของแม่ที่มีให้กับท่านนั้น เป็นความรักที่มากมาย และบริสุทธิ์เกินที่จะเปรียบได้” ซึ่งถ้าใครได้ฟังหลวงพ่อเล่าเรื่องโยมแม่ที่รักลูกนั้นคงจะยาวนานมาก เพราะตัวหลวงพ่อเองนั้น “ท่านก็ไม่เคยลืมพระคุณที่โยมแม่มีให้กับท่านมาตลอดตราบชั่วชีวิตนี้ และตลอดไป”
     
  • คนที่กายดี ตาดี หูดี แต่พิการทางใจฟังธรรมะไม่รู้เรื่อง ไม่อยากเข้าวัด กลับไปเข้าแหล่งมั่วสุมแหล่งการพนัน หูก็ฟังแต่เรื่องไม่ดี ใครทำกูกูพยาบาท ใครทำกูกูพยายามเอาชนะ ใจไม่เคยสบายมีแต่ตัวตน มีแต่เราเขา คิดแต่จะหากินให้สนุกสบาย ไม่เคยคิดปลงว่าเราจะต้องแก่ต้องตาย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น